
ลักษณะของปัญหากระ ฝ้า
ฝ้ามักขึ้นบริเวณใบหน้า ลักษณะสีน้ำตาลอมดำ อาจมีขนาดแตกต่างกันมีตั้งแต่เป็นหย่อมเล็ก ๆ จนกระทั่งขนาดใหญ่ บริเวณที่มักเกิดฝ้ามากที่สุด คือ โหนกแก้ม สันจมูก และอาจเกิดที่หน้าผาก หรือทั่วใบหน้า โดยทั่วไปฝ้าจะเกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปี ขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ ฝ้ามักจะเกิดบริเวณผิวหนังส่วนที่ถูกแดด ควรระวังไม่ให้ถูกแดดซ้ำ
สาเหตุของการเกิดกระ ฝ้า
กระ ฝ้าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง ปัจจัยเหล่านี้ อาจได้แก่
1. แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด แสงอัลตราไวโอเลต ทั้ง เอ และรวมทั้งแสง Visible Light เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดกระ ฝ้า หรือทำให้มีโอกาสเป็นฝ้าได้มากขึ้น แสงอัลตราไวโอเลต จะมีมากใน ช่วงเวลา 9.00 น. - 15.00 น. แสงแดดในช่วงนี้มีผลทำให้ผิวหนังเกิดการไหม้กรียม และเกิดฝ้า จึงควรหลีกเลี่ยงการโดนแสแดดในช่วงเวลาดังกล่าว
2. ฮอร์โมน ด้วยอิทธิพลของ ฮอร์โมน จะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย (เช่น การตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน) หรือได้รับฮอร์โมน จากภายนอกร่างกาย (เช่น รับประทานยาคุมกำเนิด การใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีฮอร์โมนผสมอยู่)
จึงมักพบผู้ที่เป็นฝ้าขณะตั้งครรภ์ หรือรับประทานยาคุมกำเนิดได้บ่อย
3. ยา พบว่าผู้ที่รับประทานยากันชักบงชนิด มักเกิดผื่นดำคล้ายรอยกระ ฝ้า ที่บริเวณใบหน้า
จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดกระ ฝ้า
4. เครื่องสำอาง การแพ้ส่วนผสมในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำแบบฝ้าได้ส่วนผสมเหล่านี้อาจเป็นพวกสารให้กลิ่นหอม หรือสี
5. พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีรายานว่าเป็นในครอบครัวได้ถึง ร้อยละ 30 - 50
6. ภาวะทุพโภชนาการ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบผื่นแบบฝ้าในผู้ที่มี หน้าที่การทำงานของตับผิดปกติ และผู้ที่ขาดวิตามินบี12
วิธีการรักษากระ ฝ้า
ภายใต้การดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำให้การรักษานั้น ๆ ตรงจุด รักษาที่ต้นเหตุของปัญหา ร่นระยะเวลาการรักษา และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
1. ใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุง กันแดด ที่เหมาะสมกับสภาพผิว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว จะทำให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ ได้ ส่งผลให้ผิวไม่ไวต่อแสงแดด และมลภาวะ ที่จะมาทำลายผิวของเราได้
2. ใช้ครีมทาฝ้า การเลือกใช้ครีมทากระ ฝ้าที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ฝ้าหายเร็วขึ้นได้ ลดการเกิดการระคายเคืองต่อผิว โดยครีมทากระ ฝ้าที่ดีนั้นจะต้องสามารถช่วยทำให้กระ ฝ้าเก่าจางลง และจะต้องป้องกันการเกิดกระ ฝ้าใหม่ได้ด้วย
3. ทำทรีทเมนท์ฟื้นฟูผิว การทำทรีทเมนท์บำรุงผิวหน้าที่ลงลึกถึงเซลล์ผิวชั้นใน ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง กระจ่างใส ป้องกันการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
4. ทำเลเซอร์รักษากระ ฝ้า การทำเลเซอร์ คือการรักษาผิวหน้าอีกทางที่ช่วยรักษากระ ฝ้า และจุดด่างดำต่าง ๆ ให้หายหรือจางลงได้ ถือเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่คนปัจจุบันนิยมทำกัน เพราะนอกจากจะรวดเร็วใช้เวลาไม่นานแล้ว ยังจะรักษาฝ้าได้ผลดี และหลังทำควรจะต้องดูแลผิวเป็นพิเศษอีกด้วย เพื่อไม่ให้เป็นซ้ำ
5. ฉีดเมโสรักษากระ ฝ้า การฉีดเมโสรักษากระ ฝ้า ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยรักษากระ ฝ้าให้หายขาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษาแบบนี้จะเป็นการฉีดตัวยาเข้าไปยังชั้นใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นกระ ฝ้าโดยตรง
และตัวยาจะเข้าไปฟื้นฟูผิวจากภายใน และยับยั้งการทำงานของเม็ดสีผิวที่ผิดปกติทำให้กระ ฝ้าหายขาดหรือจางลงได้ นับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีเลยทีเดียว และยังมีให้เลือกหลากหลายโปรแกรมให้เหมาะสมกับแต่ละสภาพผิวด้วย
28 views0 comments