top of page

สาเหตุของปัญหารักษารักแร้ดำ/ตุ่มหนังไก่

จริงๆแล้วสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสามารถแยกออกเป็น 2 ข้อใหญ่ๆ คือ 

1. รักแร้ดำเพราะมีขน (หนังไก่)

มักเป็นกันทั่วไปในคุณผู้หญิง อยู่ที่ว่าจะเป็นมากหรือเป็นน้อย

สาเหตุเหตุที่ทำให้เกิดหนังไก่ รักแร้ เกิดจากอะไร

หลักๆคือการถอนขนใต้วงแขนนั่นเอง ซึ่งร้อยทั้งร้อยของสาวๆต่างๆก็ต้องทำการถอนทั้งนั้น จึงทำให้รักแร้เป็นตะปุ่มตะป่ำ หรือที่เรียกว่า “ผิวหนังไก่” ทั้งนี้ การโกนขนรักแร้หรือผิวหนังถูกรบกวนบ่อยๆ ก็อาจทำให้เกิดผิวหนังไก่ได้ ทั้งยังทำให้ขนรักแร้ที่ขึ้นใหม่แข็งเป็นตอ มีอาการคัน ยิ่งโกนบ่อยๆนานๆ ก็จะยิ่งทำให้รักแร้ดำได้อีก

       

2. รักแร้ดำหมองคล้ำ

มักเกิดจากการถูกเสียดสีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคนอ้วน ก็จะยิ่งมีปัญหานี้ได้ง่ายวกกับเป็นบริเวณที่เปียกชื้นจากเหงื่อ จึงทำให้เกิดรอยดำขึ้นมา หรืออาจเกิดจากใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ทำจากสารเคมี ซึ่งมีส่วนผสมของ สารปรอท ไฮโดรควินิน และเสตียรอยด์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติ แต่ยังผสสารกับูด เพราะสารพวกนี้จะทำให้รักแร้ดำ และเสื้อผ้ามีคราบเหลืองด้วย

สาเหตุที่ทำให้ใต้วงแขนดำ

2.1 การถอนขนรักแร้

เพราะการถอนขนรักแร้ะมีส่วนให้ทำให้รักแร้ดำเป็นอย่างมาก เนื่องจากเกิดการอักเสบของรูขุมขนเวลาถอนขนรักแร้ คนที่ถอนบ่อยเป็นประจำอย่างต่อเนื่องยิ่งจะมีรักแร้ดำใครที่ถอนขนรักแร้ควรทาครีมบำรุงด้วย

2.2 การเสียดสีใต้วงแขน

เพราะบริเวณที่เป็นข้อพับจะถูกเสียดสีกันบ่อยๆ ทำให้เกิดรอยดำขึ้นได้ง่าย รักแร้ก็เป็นหนึ่งในอวัยวะที่เสียดสีกันบ่อยทำให้เกิดอาการรักแร้ดำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีน้ำหนักตัวมาก ๆ หรืออ้วนจะมีโอกาสเสียดสีของข้อพับบ่อยมากกว่าคนผอม ทำให้คนอ้วนรักแร้ดำได้มากกว่าคนผอม

2.3 เหงื่อเยอะเกิดความสกปรกใต้วงแขน

เพราะเหงื่อจะไหลลงมาผสมกับโลออนที่เราทาเข้าไปจะทำให้เกิดปฏิกิริยากันและทำให้รักแร้ดำได้ ถึงแม้บางคนไม่ทาโลออนถ้าเหงื่อไหลมาบริเวณรักแร้ก็จะมีคราบเหงื่อสีดำเป็นรอย

2.4 โกนขนรักแร้ยิ่งทำให้รักแร้ดำ

เพราะใบมีดโกนจะไปทำลายเซลล์ผิวหนังรักแร้ จึงทำให้เกิดรอยดำขึ้น

2.5 กรรมพันธุ์

เพราะพันธุกรรมก็มีส่วนทำให้รักแร้ดำได้ ส่วนบางคนเป็นคนผิวขาวเนียน รักแร้ก็เนียนมาแต่เกิด

วิธีรักษาปัญหารักษารักแร้ดำ/ตุ่มหนังไก่

วิธีทำให้รักแร้ขาวที่ดีที่สุดคือ Laser รักแร้ขาว เป็นการใช้เลเซอร์ยิงใส่บริเวณที่เป็นจุดสีดำบนรักแร้ทำให้เซลล์ตรงนั้นตายจะได้ผลัดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน เป็นวิธีทำให้รักแร้ขาวที่ได้ผลดีที่สุดและเร็วที่สุดอีกด้วย

สาเหตุของปัญหารักษาเหงื่อรักแร้

ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ หรือเรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมาก หรือภาวะเหงื่อท่วม (Hyperhidrosis) ได้แก่ ภาวะที่ต่อมเหงื่อชนิด Eccrine สร้างเหงื่อมากผิดปกติจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำ เช่น การเข้าสังคม มีกลิ่นตัว และ/หรือต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย 

 

ซึ่งเมื่อมีเหงื่อออกมากผิดปกติเกิดโดยไม่ทราบสาเหตุกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ พยากรณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อใด แต่มักเกิดเฉพาะในช่วงกลางวัน ในช่วงกลางคืนจะปกติ เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมากปฐมภูมิ (Primary hyperhidrosis หรือ Idiopathic hyperhidrosis หรือ Essential hyperhidrosis) 

 

แต่เมื่อมีเหงื่อออกมากผิดปกติเกิดขึ้นโดยรู้สาเหตุ เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมากทุติยภูมิ (Secondary hyperhidrosis) เมื่อมีเหงื่อออกมากผิดปกติเป็นเพียงบางแห่งของร่างกาย เช่น รักแร้ ฝ่ามือ และ/ หรือฝ่าเท้า ซึ่งมักออกในช่วงกลางวัน เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมากเฉพาะจุด (Focal hyperhidrosis) และเมื่อออกมากผิดปกติทั่วทั้งตัว เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมากทั่วตัว (Generalized hyperhidrosis) ซึ่งเหงื่ออาจออกกลางวัน กลางคืน หรือทั้งกลางวันและกลางคืน หรือเป็นเวลาช่วงไหนก็ได้ทั้งนี้ ขึ้นกับสาเหตุในภาวะปกติ สามารถพบช่่วงมีเหงื่อออกมากกว่าปกติได้ เช่น ในการออกกำลังกาย อากาศร้อน อากาศอบอ้าว กินอาหารเผ็ดหรืออาหารร้อน ตื่นเต้น เครียด หรือมีไข้ 

 

ภาวะหลั่งเหงื่อมากเป็นภาวะพบได้บ่อย แต่สถิติที่แท้จริงยังไม่ทราบ เพราะมีผู้ป่วยเพียงบางส่วนเท่านั้นที่มาพบแพทย์ด้วยภาวะนี้ แต่ประมาณว่า ในประชากรทั้งหมดสามารถพบภาวะนี้ได้ประมาณ 0.6-1% โดยพบภาวะนี้ได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และพบในผู้หญิงได้บ่อยเท่ากับในผู้ชาย

วิธีรักษาเหงื่อรักแร้

การใช้สารโบทูลินัมท็อกซิน A ฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ  สารตัวนี้ก็คือเจ้าโบท็อกซ์นั่นเอง "แปลว่าหากใครเป็นโรคนี้ ก็คงต้องทำใจที่จะโดนฉีดโบท็อกซ์ เจ็บตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ กัน ปีละ 1-2 ครั้ง ข้อดีก็คือ ช่วยลดภาวะกลิ่นตัวไปด้วยพร้อม ๆ กัน เนื่องจากเมื่อเหงื่อออกน้อย การหมักหมมของแบคทีเรียก็น้อย ก็จะทำให้กลิ่นตัวน้อยตามลงไปด้วย อาจมีข้อแทรกซ้อนได้บ้าง นั่นก็คือรอยฟกช้ำดำเขียวจากจุดที่ถูกเข็มฉีดยาจิ้ม และบางครั้งตัวยาโบท็อกซ์อาจจะซึมลึกไปมีผลถึงกล้ามเนื้อลึก ๆ ใต้วงแขน จนบางคนรู้สึกชาไปบ้าง แต่ก็มักจะหายได้เองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์"

bottom of page