มากกว่าความหล่อหรือความสวยคือความอ่อนวัย คุณหรือใครก็อ่อนวัยดูดีได้ หมอหญิงคลินิก คลินิกความงามควบคู่สุขภาพของภาคเหนือเพื่อชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
มุ่งให้บริการด้วยความรู้ จริงใจ และเป็นธรรม เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาบุคคลากร ใส่ใจทุกขั้นตอน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จากยุโรปอเมริกา
มั่นใจกับคุณภาพ มาตรฐาน มีงานวิจัยรองรับ เพื่อผลการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับทุุกท่าน
Call Center
053105540 -1
093 -1359277
ฟิลเลอร์ คืออะไร?
ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็ม ใช้สำหรับฉีดเพื่อเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะใช้ฟิลเลอร์เพื่อลดและแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึก ที่เกิดขึ้นในบริเวณต่างๆ ของใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก ริ้วรอยร่องลึกรอบดวงตา ริ้วรอยร่องลึกมุมปาก และยังสามารถนำมาช่วยในการแก้ไขปรับแต่งรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์ได้อีกด้วย เช่น เติมริมฝีปาก ร่องแก้ม และในบางรายที่เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นทำให้แก้มดูตอบก็สามารถใช้ฟิลเลอร์ ในการแก้ปัญหาแก้มตอบได้เช่นกัน หรือแม้กระทั่งนำมาใช้ในการบำรุงผิวให้กลับกระชับเปล่งปลั่ง ในบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ หรือบริเวณผิวหน้าอกก็นิยมทำกันไม่น้อย
ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสารเติมเต็ม สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ ชนิดแรก สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler) จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 4-6 เดือน มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และยังสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ชนิดที่สองเราจะเรียกว่า แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) แบบนี้จะมีอายุยาวกว่าแบบแรก สามารถอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี มีความปลอดภัยในระดับปานกลาง และชนิดสุดท้าย แบบถาวร (Permanent Filler) จะเป็นสารเติมเต็มจำพวก ซิลิโคน หรือ พาราฟิน หลังฉีดไปแล้วจะสามารถอยู่ในผิวไปได้ตลอดไม่สลายไปตามธรรมชาติ และก็จะมีผลข้างเคียงในระยะยาว
สำหรับการใช้ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสารเติมเต็ม แก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกของผิวหนังหรือการปรับแต่งรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์นั้น เราจะนิยมใช้สารเติมเต็มชนิดชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่ผิวหนังของคนเรานั้นจะมีส่วนประกอบสำคัญคือ ใยคอลลาเจน และเมื่อเราอายุมากขึ้นใยคอลลาเจนในผิวหนังก็ฝ่อลง ทำให้ผิวที่เคยอิ่มน้ำ เต่งตึง ดูมีริ้วรอยร่องลึก ผิวหนังบางลงนั่นเอง และเมื่อแพทย์ฉีดเติมสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิคเข้าไป ก็จะช่วยให้ผิวพรรณดูดีขึ้น จากที่เคยมีร่องลึกก็จะดูตื้นขึ้น เพราะการฉีดฟิลเลอร์จะสามารถช่วยเติมเต็มใยคอลลาเจนที่หายไป ทำให้สภาพผิวดูเต่งตึงขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังช่วยแก้ไขปัญหาอื่นๆ บนใบหน้าได้ดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเสริมริมฝีปาก ฉีดเพื่อปรับแก้ไขรูปทรงของใบหน้า หรือเพื่อแก้ไขปัญหาแผลเป็นชนิดบุ๋มของรอยหลุมสิวก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่การฉีดเพื่อเสริมจุดต่างๆ ที่กล่าวไปนั้นจำเป็นต้องได้รับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจากโรง พยาบาลเท่านั้น เพราะหากฉีดผิดจุด หรือพลาดไปโดนจุดสำคัญบนใบหน้าอาจเกิดผลเสียตามมาได้
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลดริ้วรอย หรือปรับแต่งรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์นั้น โดยทั่วไปแพทย์ใช้เวลาในการฉีดประมาณ 15-30 นาที คุณจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย ในบางรายอาจจะมีอาการเจ็บ บวม ปวด คัน แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน หลังจากฉีดเสร็จแพทย์จะให้คุณนอนราบสักครู่เพื่อให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป เซ็ตตัว หลังจากนั้นก็สามารถกลับบ้านได้ตามปกติ แต่ผู้เข้ารับการฉีดต้องระมัดระวังไม่ไปกดหรือนวดแรงๆ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ในช่วงแรก
ส่วนข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คือจะสามารถเห็นผลการฉีดได้เลยทันที เร็วกว่าการใช้ครีมทาผิวแบบทั่วไป ง่ายต่อการรักษาริ้วรอย ใช้เวลาในการฉีดเพียงไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น ที่สำคัญการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นผิวหนัง หากได้รับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วล่ะก็แทบจะไม่เป็นอันตรายและมีผล ข้างเคียงน้อย สามารถย่อยสลายไปได้เองตามกระบวนการการทำงานของร่างกาย ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คือจะสามารถอยู่ได้แค่ประมาณ 4-6 เดือน แต่ผู้เข้ารับการฉีดก็สามารถกลับมาฉีดฟิลเลอร์ซ้ำในจุดเดิมได้ตามความเหมาะสม
*ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะแตกต่างไปในแต่ละบุคคล
*ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะแตกต่างไปในแต่ละบุคคล
ในยุคนี้ ต้องถือว่าการฉีดฟิลเลอร์เป็นอีกหนึ่งอย่างในการเสริมความงาม ที่เปลี่ยนเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ ลดปัญหาเรื่องริ้วรอยและยังสามารถช่วยปรับแต่งรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์ได้อีกด้วย ซึ่งหากคุณเป็นหนึ่งในสาวๆ ที่กำลังอยากจะฉีดฟิลเลอร์อยู่ล่ะก็ อยากให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ดีก่อนที่จะทำการฉีด ที่สำคัญควรเลือกฉีดในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองแล้วว่าปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อความสวยที่ไม่ต้องเสี่ยงของตัวคุณเอง
ผลข้างเคียงจากการฉีดสารเติมเต็ม
-
ฉีดไม่ถูกตำแหน่ง เช่นฉีดตื้นหรือลึกเกินไป ทำให้ไม่ได้ผล
-
บวมไม่ยุบ โดยเฉพาะการฉีดเติมร่องใต้ตาเป็นผลจากการอุดตันทางเดินน้ำเหลือง ทำให้ตาดูบวมๆคล้ายถุงใต้ตา
-
เป็นก้อนๆหรือตะปุ่มตะป่ำ อันนี้พบได้บ่อย โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มหรือใต้ตาที่ฉีดตื้นเกินไป
-
บริเวณที่ฉีดมีเส้นเลือดฝอยแดงเกิดขึ้น เป็นผลจากอนุภาคสารเติมเต็มไปอุดตันเส้นเลือดฝอยในจุดนั้น มักพบได้บ่อยในกรณีที่ต้องการฉีดเสริมปลายจมูก
-
เนื้อเยื่อข้างเคียงตาย จากการที่อนุภาคของสารเติมเต็มไปอุดตันเส้นเลือดขนาดกลาง พบได้บริเวณข้างและปีกจมูกจากการเติมร่องแก้มหรือการฉีดเสริมจมูก
-
เกิดการอักเสบติดเชื้อ พบได้บ่อยมากขึ้นในกรณีที่ฉีดเติมปลายจมูกให้ยาวขึ้นหรือเพื่อเป็นหยดน้ำในจมูกที่มีแท่งซิลิโคนอยู่แล้ว กรณีนี้ต้องถอดแท่งซิลิโคนออกเท่านั้นจึงจะดีขึ้น
-
จมูกโตขึ้นเรื่อยๆ มักพบในคนที่ฉีดสารเติมเต็มหลายๆครั้งทำให้พังพืดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการฉีดสารเติมเต็มจึงไม่ใช่การทดแทนการศัลยกรรมจมูกอย่างที่โฆษณากัน
-
ตาบอด อันนี้สาหัสสุด มักเกิดจากการฉีดเสริมจมูกอย่างผิดวิธีทำให้อนุภาคของสารเติมเต็มหลุดเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่ดวงตา ซึ่งเราคงเคยได้ข่าวมาบ้างแล้วในเมืองไทย
แนวทางปฏิบัติตัวหลังฉีด Filler
-
48 ชั่วโมงแรก ไม่ควรออกกำลังการให้เหงื่อออกมาก หรือไปตากแดดร้อนๆ เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดงมากขึ้นในบริเวณที่ฉีด
-
หลังฉีดทันทีไม่ควรจับ ลูบคลำ นวด หรือปั้นเอง ในบริเวณที่ฉีด เพราะอาจมีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของตัว Filler ไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการได้
-
หลังฉีดควรดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะ 4 วันแรก เพราะ Filler เป็นสารอุ้มน้ำ การดื่มน้ำมากๆ จะทำให้ Filler ที่ทำการเติมเต็มเข้าไปอยู่ได้นานขึ้น และช่วยให้น้ำจับกับโมเลกุลของ Filler ที่ฉีด ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
-
งดทานยา หรือ วิตามินที่ทำให้เลือดออก เช่น แอสไพริน Vitamin E ใบแป๊ะก๊วย
-
ภายใน 2 สัปดาห์แรก ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น การอบไอน้ำ การอบซาวน่า การทำเลเซอร์ การทำ RF เพราะความร้อนอาจจะส่งผลต่อ Filler ได้
-
หลังฉีดสามารถแต่งหน้า ทาแป้ง ทาครีมได้ตามปกติ เมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ สามารถทำ Treatmant อื่นๆ ได้ตามปกติ (ยกเว้น Laser, RF ต้องรอให้ครบ 2 สัปดาห์)
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอร์ 3 วัน หลังการฉีด
-
หลังฉีดอาจมีรอยเข็มแดงๆ เป็นจุดเล็กๆ ในบริเวณที่ฉีด จะหายเองภายใน 2-3 วัน และอาจเกิดรอยเขียงช้ำได้เล็กน้อย โดยรอยเขียงช้ำจะค่อยๆ จางลงภายใน 1 สัปดาห์ ดังนั้น ช่วงแรก สามารถทาแป้ง Concealer หรือ รองพื้นปกปิดบริเวณที่เขียวช้ำ หรือรอยแดงจากเข็มไว้ก่อนได้
-
หลังฉีดอาจจะคลำพบก้อนๆ แข็งเหมือนยางลบใต้ผิวหนังบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจจะละลายตัวและนิ่มเป็นเนื้อเดียวกันเองภายใน 5-7 วัน
-
อาจจะมีการปวดระบมบริเวณที่ฉีดได้เล็กน้อย สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการประคบเย็น หรือทานยาแก้ปวด ลดบวมได้
-
นัดพบแพทย์หลังการรักษา 1-2 สัปดาห์
-
กรณีการปวดบวมแดงมากผิดปกติ หรือสีผิวหนังบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนไปเป็นสีซีด เป็นสีน้ำตาล หรือ ดำ (โดยไม่ใช่รอยเข็ม หรือ รอยเขียวช้ำ) ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ ผู้ทำหัตถการหรือติดต่อเจ้าหน้าที่ ตามเบอร์ที่ให้ไว้ทันที อย่ารอให้ถึงวันนัด