top of page
รักษาหลุมสิว

รอยแดง รอยดำจากสิวอักเสบ เป็นอาการหลังมีการอักเสบของสิว ผิวหนังบริเวณนั้นมักจะมีสีที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วงแรกอาจเป็นรอยแดงๆ ช้ำๆ ต่อมาสีอาจจะเข้มขึ้น เห็นเป็นสีน้ำตาล จนถึงเกือบดำดยมากจะพบในผู้ที่มีผิวคล้ำง่ายกว่า ซึ่งสร้างปัญหาด้านความสวยงามให้ผู้ที่เป็นสิวค่อนข้างมาก โดยทั่วๆ ไป สามารถหายเองได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ รืออาจใช้เวลาถึง 18 เดือน ในการจางหายไป

แต่หากไม่ทันใจ ก็อาจจะใช้ยาทาลดรอยดำได้

สาเหตุของปัญหาหลุมสิว

รอยแผลเป็นจากสิว ซึ่งมักจะเกิดจากสิวที่อักเสบ และอยู่ค่อนข้างลึกลงไปในผิว แต่ในบางครั้งก็อาจจะเกิดได้จากสิวอักเสบที่อยู่ตื้น

กว่าได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วย เราสามารถแบ่งรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

1. รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) รอยแผลเป็นชนิดนี้ จะมีลักษณะนูนแข็ง ผิวค่อนข้างเรียบ สีค่อนข้างแดงหรือชมพู ขนาดมีได้ตั้งแต่ 1-2 มิลลิเมตร จนถึงมากกว่า 1 เซนติเมตร ได้ ตำแหน่งที่พบแผลเป็นนูนเหล่านี้ ได้บ่อย คือ บริเวณใต้กราม และ ลำตัวช่วงบน

2. รอยแผลเป็นชนิดบุ๋ม (Ice-pick and Depressed fibrotic scar)

3. แผลเป็นชนิดลึกแหลม (Ice-pick scar) คือ แผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรูเล็กๆ ขอบเขตชัดเจน ชัน อาจตื้นหรือลึกก็ได้ พบได้บ่อยที่บริเวณแก้ม

4.แผลเป็นชนิดหลุม (Depressed fibrotic scar) มักจะมีขนาดกว้างกว่า ขอบเขตค่อนข้างชัดเจน ที่ก้นหลุมจะค่อนข้างแข็ง ดึงยืดไม่ได้

5. แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid scar) ลักษณะคล้ายแผลชนิดนูน แต่จะเป็นมากกว่า โดยจะลุกลามขยายกว้างกว่าตัวสิวอักเสบเดิม

วิธีรักษาหลุมสิว

มีหลายวิธี ซึ่งหลุมสิวแต่ละชนิดก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน

- หลุมสิวแบบจิก (Ice pick) มีวิธีการรักษา เช่น

1) การผ่าตัดออกทั้งหลุมสิวแล้วเย็บปิด(Punch excision) หรือ ตัดออกแล้วเอาเนื้อเยื่อที่ดีมาเย็บปิด (Punch graft)

2) ใช้ TCA แต้ม

3) ใช้เทคโนโลยี ที่มีผลต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียงกับข้อ 1 เป็นต้น

- หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar และ Shallow) มีวิธีการรักษา

1) การเจาะแผลเป็นแล้วยกผิวขึ้น(Punch elevation)

2) การกรอหน้าแบบลึกและแบบตื้น (Dermabration/Microdermabration)

3) ใช้เครื่องเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุ (Laser/RF)

3.1) ที่ทำให้เกิดแผลบนผิวหน้าทั้งหมด(Ablative) เช่น CO2Laser ปัจจุบันไม่ใช้เพราะผลข้างเคียงเยอะ

3.2) ทำให้เกิดแผลบนผิวบางส่วนเป็นจุดๆ (Sublative) เช่น nano-Fractional RF(venus viva), Fractional RF(Ematrix, Etwo), FractionalCO2, Fractional Er:Yag

3.3) ไม่ทำให้เกิดแผลบนผิว(Nonablative)

ซึ่งมีทั้งที่เป็น Fractional และไม่เป็นfractional เช่น Er:Glass laser(Fraxel), Long pulsed laser (Evo laser)

- หลุมสิวแบบแอ่ง (rolling)

1) ใช้ฟิลเลอร์เติม

2) ตัดพังผืด subcision
 

ซึ่งใบหน้าของคนไข้เกือบทั้งหมดจะมีลักษณะหลุมสิวทั้งสี่ชนิด กระจัดกระจายมากน้อยแตกต่างกัน บางตำแหน่งของผิวก็อาจจะมีหลุมสิวหลายชนิดรวมกัน ดังนั้น การรักษาหลุมสิวในคนไข้หนึ่งคนจึงต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกันตามแต่ละชนิดของหลุมสิวนั้นๆ ในแต่ละบริเวณบนใบหน้า และอาจจะต้องมีตัวช่วยร่างกายให้สร้างเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น ซึ่งจะแนะนำในคนที่อายุสามสิบขึ้นไปหรือน้อยกว่านั้นก็ได้เพื่อประสิทธิภาพของการรักษาที่ชัดเจนและเห็นผลเร็วขึ้น

รักษาหลุมสิว

รักษาหลุมสิว

รอยแดง รอยดำจากสิวอักเสบ เป็นอาการหลังมีการอักเสบของสิว ผิวหนังบริเวณนั้นมักจะมีสีที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วงแรกอาจเป็นรอยแดงๆ ช้ำๆ ต่อมาสีอาจจะเข้มขึ้น เห็นเป็นสีน้ำตาล จนถึงเกือบดำ โดยมากจะพบในผู้ที่มีผิวคล้ำง่ายกว่า ซึ่งสร้างปัญหาด้านความสวยงามให้ผู้ที่เป็นสิวค่อนข้างมาก โดยทั่วๆ ไป สามารถหายเองได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์

หรืออาจใช้เวลาถึง 18 เดือน ในการจางหายไปแต่หากไม่ทันใจ ก็อาจจะใช้ยาทาลดรอยดำได้

2. รอยแผลเป็นชนิดบุ๋ม (Ice-pick and Depressed fibrotic scar)

3. แผลเป็นชนิดลึกแหลม (Ice-pick scar) คือ แผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรูเล็กๆ ขอบเขตชัดเจน ชัน อาจตื้นหรือลึกก็ได้ พบได้บ่อยที่บริเวณแก้ม

4.แผลเป็นชนิดหลุม (Depressed fibrotic scar) มักจะมีขนาดกว้างกว่า ขอบเขตค่อนข้างชัดเจน ที่ก้นหลุมจะค่อนข้างแข็ง ดึงยืดไม่ได้

5. แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid scar) ลักษณะคล้ายแผลชนิดนูน แต่จะเป็นมากกว่า โดยจะลุกลามขยายกว้างกว่าตัวสิวอักเสบเดิม

วิธีรักษาหลุมสิว

มีหลายวิธี ซึ่งหลุมสิวแต่ละชนิดก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน

- หลุมสิวแบบจิก (Ice pick) มีวิธีการรักษา เช่น

1) การผ่าตัดออกทั้งหลุมสิวแล้วเย็บปิด(Punch excision) หรือ ตัดออกแล้วเอาเนื้อเยื่อที่ดีมาเย็บปิด (Punch graft)

2) ใช้ TCA แต้ม

3) ใช้เทคโนโลยี ที่มีผลต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียงกับข้อ 1 เป็นต้น

- หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar และ Shallow) มีวิธีการรักษา

1) การเจาะแผลเป็นแล้วยกผิวขึ้น(Punch elevation)

2) การกรอหน้าแบบลึกและแบบตื้น (Dermabration/Microdermabration)

3) ใช้เครื่องเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุ (Laser/RF)

3.1) ที่ทำให้เกิดแผลบนผิวหน้าทั้งหมด(Ablative) เช่น CO2Laser ปัจจุบันไม่ใช้เพราะผลข้างเคียงเยอะ

3.2) ทำให้เกิดแผลบนผิวบางส่วนเป็นจุดๆ (Sublative) เช่น nano-Fractional RF(venus viva), Fractional RF(Ematrix, Etwo), FractionalCO2, Fractional Er:Yag

3.3) ไม่ทำให้เกิดแผลบนผิว(Nonablative) ซึ่งมีทั้งที่เป็น Fractional และไม่เป็นfractional เช่น Er:Glass laser(Fraxel), Long pulsed laser (Evo laser)

- หลุมสิวแบบแอ่ง (rolling)

1) ใช้ฟิลเลอร์เติม

2) ตัดพังผืด subcision
 

ซึ่งใบหน้าของคนไข้เกือบทั้งหมดจะมีลักษณะหลุมสิวทั้งสี่ชนิด กระจัดกระจายมากน้อยแตกต่างกัน บางตำแหน่งของผิวก็อาจจะมีหลุมสิวหลายชนิดรวมกัน ดังนั้น การรักษาหลุมสิวในคนไข้หนึ่งคนจึงต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกันตามแต่ละชนิดของหลุมสิวนั้นๆ ในแต่ละบริเวณบนใบหน้า และอาจจะต้องมีตัวช่วยร่างกายให้สร้างเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น ซึ่งจะแนะนำในคนที่อายุสามสิบขึ้นไปหรือน้อยกว่านั้นก็ได้เพื่อประสิทธิภาพของการรักษาที่ชัดเจนและเห็นผลเร็วขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้ อาจแตกต่างไปในแต่ะบุคคล

ผลลัพธ์ที่ได้ อาจแตกต่างไปในแต่ะบุคคล

สาเหตุของปัญหาหลุมสิว

รอยแผลเป็นจากสิว ซึ่งมักจะเกิดจากสิวที่อักเสบ และอยู่ค่อนข้างลึกลงไปในผิว แต่ในบางครั้งก็อาจจะเกิดได้จากสิวอักเสบที่อยู่ตื้นกว่าได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วย เราสามารถแบ่งรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

1. รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) รอยแผลเป็นชนิดนี้ จะมีลักษณะนูนแข็ง ผิวค่อนข้างเรียบ สีค่อนข้างแดงหรือชมพู ขนาดมีได้ตั้งแต่ 1-2 มิลลิเมตร จนถึงมากกว่า 1 เซนติเมตร ได้ ตำแหน่งที่พบแผลเป็นนูนเหล่านี้ ได้บ่อย คือ บริเวณใต้กราม และ ลำตัวช่วงบน

bottom of page